top of page

นักวิเคราะห์เสนอธนาคารเปิดเวลาบริการเหมือนร้านสะดวกซื้อ แก้ปัญหาออนไลน์แบงค์กิ้ง จนพนักงานต้องตกงาน

  • ญี่ปุ่น Get staff
  • 1 มี.ค. 2561
  • ยาว 1 นาที

ข้อมูลจากสำนักข่าวนิเคอิ เรียบเรียงโดย Get staff

เพราะความทันสมัยของยุคดิจิตัลที่กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อย จนส่งผลกระทบไปยังธุรกิจดั้งเดิมหลายประเภท โดยเฉพาะกลุ่มที่เห็นชัดที่สุดคือ กลุ่มของการธุรกรรมทางการเงิน โดยล่าสุดในประเทศไทยเองก็พบว่า หลายธนาคารประกาศปิดสาขาที่มีลูกค้าเข้าใช้บริการไม่มากนัก ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบถึงพนักงานของธนาคารที่มีความเสี่ยงสูงที่จะต้องตกงานตามไปด้วย

ปัญหาการพัฒนาของโลกดิจิตัล ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงินการธนาคารนั้น ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับประเทศที่เป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีอย่างประเทศญีปุ่นเช่นกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ มิซุรุ อาเบะ จากสำนักข่าวนิเคอิ สำนักข่าวเชิงธุรกิจของประเทศญีปุ่นเผยแพร่ข้อเขียนในประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบนี้เช่นกัน โดยข้อเขียนของอาเบะ ระบุว่า อาจจะมีพนักงานธนาคารหลายพันตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการตกงานหลังจากการเติบโตของการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบดิจิตัลของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และถือว่าสถานการณ์นี้กลายเป็นภัยคุกคามแบบเงียบ ซึ่งถือเป็นวิกฤติครั้งสำคัญของธุรกิจธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศญีปุ่นเลยทีเดียว

ข้อเขียนของอาเบะ กล่าวว่าในอดีต หากต้องการทำธุรกรรมทางการเงิน ลูกค้าจะต้องเดินทางไปที่สาขาของธนาคาร ที่จะมีพนักงานหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตร และมีประสบการณ์สูงพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการให้คำแนะนำการกรอกแบบฟอร์มต่างๆ ที่จำเป็นในการเปิดบัญชี ถอนเงิน โอนเงิน หรือ ทำขอสินเชื่อ รวมทั้งการดำเนินการด้านเอกสารยืนยันตัวตนของลูกค้า เมื่อดำเนินการเรื่องการเตรียมเอกสารแล้ว ลูกค้าจะต้องนั่งรอคิว จากพนักงานหลังเคาน์เตอร์ ในการจัดการกับธุรกรรมต่างๆ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมง่ายๆ แต่ดูเหมือนว่าขั้นตอนที่ผ่านพนักงานจะดูซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ

สรุปว่า ในการไปธนาคารแต่ละครั้งลูกค้าจะต้องใช้เวลากับพนักงานจำนวนมากหลากหลายขั้นตอนกว่าจะเสร็จเรื่อง ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างกับการไปธนาคารในประเทศไทยเหมือนกัน

แต่นั่นคือยุคที่ดิจิตัลยังไม่พัฒนาเหมือนทุกวันนี้ เพราะปัจจุบัน พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะเข้าไปพบพนักงาน แต่เลือกที่จะเดินไปที่ตู้เอทีเอ็มจำนวนมากเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง และลูกค้าจำนวนมากเลือกที่จะทำธุรกรรมอนอนไลน์แทนการเข้าไปต่อคิวเพื่อขอรับบริการหลังเคาน์เตอร์เหมือนในอดีต

อย่างไรก็ตามอาเบะ ตั้งข้อสังเกตในข้อเขียนของเขาว่า แม้ว่าจะการใช้บริการขอธนาคารอินเตอร์เนตจะมีอัตราสูงขึ้นอย่างมาก แต่กลับพบว่า ในกลุ่มของลูกค้ารายย่อย หรือ รีเทล แบงค์ กลับมีสัดส่วนที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีเล็กน้อยเท่านั้น ลูกค้าบางส่วนยังให้ความสำคัญกับสมุดธนาคาร ความมั่นคงปลอดภัยของเอกสาร ยังคงเป็นจุดแข็งสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ที่ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของในธนาคารของญี่ปุ่นแม้ว่าจะมีความต้องการน้อยลงสำหรับบริการเหล่านี้ก็ตาม

จากสัญญาณที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในญีปุ่นสามแห่งได้ประกาศแผนการที่จะปิดสาขา(ไม่ต่างกับไทย) โดยจะต้องโล๊ะตำแหน่งต่างๆ ของพนักงานนับพัน ๆ ตำแหน่งและแนะนำพวกเขาเรียนรู้ในการใช้ระบบอัตโนมัตมากขึ้นกับอุตสาหกรรมที่พนักงานคาดหวังว่าจะมีงานทำมาตลอดชีวิต แต่นักวิจารณ์ก็เตือนว่าพวกเขายังคงไม่สามารถที่จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็วกับสถานการณ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงของระดับดิจิตัลดังกล่าว จนกระทั่ง ผู้บริหารอาวุโสคนหนึ่งของธนาคารญี่ปุ่นถึงกับออกปากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็น “ภัยเงียบของธุรกิจธนาคาร” ของญีปุ่นเลยทีเดียว

นายเรย์มอนด์สเปนเซอร์รองประธานอาวุโสของ Moody's Investors Service ประเทศญี่ปุ่นกล่าวว่าธนาคารค้าปลีกจำเป็นต้องปรับตัวมากขึ้นให้เหมือนกับรูปแบบของร้านสะดวกซื้อ "ธนาคารจะต้องไม่เป็นธุรกิจที่ซับซ้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในกลุ่มของลูกค้าปลีก เพราะปัจจุบันมีการแข่งขันสูง ดังนั้นธนาคารจึงอาจจะต้องกลายเป็นสินค้าในกลุ่มเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นนั่นเอง”

นายเรย์ แสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจว่า โดยปกติแล้วธนาคารจะเปิดให้ทำการเวลาสั้นๆ โดยทั่วไปคือ ตั้งแต่ 9.00 - 15.00 น. ในวันธรรมดา แต่ขณะนี้เป็นยุคดิจิตัลแล้วซึ่งน่าแปลกใจว่า เพราะเหตุใดธนาคารจึงได้เปิดทำการในช่วงเวลาที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปใช้บริการได้”

ความหมายนี้ของนายเรย์ อาจจะทำให้ตีความได้ว่า หรือว่า ธนาคารควรเปิดให้บริการในเวลาสะดวกสำหรับลูกค้ามากขึ้นเช่นเดียวกับร้านสะดวกซื้อ เพราะเป็นเวลาที่ใครๆ ก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้ ซึ่งดูเหมือนว่าจุดนี้ ในประเทศไทยเรา น่าจะเป็นโมเดลเดียวกับที่ร้านเซ่เว่น อีเลฟเว่นนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว แตกต่างกันแค่รูปแบบ เพราะแนวทางที่เรย์ตั้งข้อสังเกตน่าจะหมายถึงการเปิดธนาคารเต็มรูปแบบในเวลาสะดวก มากกว่าการเปิดให้ร้านสะดวกซื้อเป็นเอเย่นต์ และลูกค้าจะต้องเสียค่าบริการให้กับเอเย่นต์แทน

กลับมาที่ข้อเขียนของอาเบะ ต่อ เขาระบุว่า ที่ธนาคารแห่งโตเกียว – มิตซูบิชิยูเอฟเจซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีข้อมูลว่า มีลูกค้าเข้าไปใช้บริการที่สาขาธนาคาร ลดลงถึง 40% ในช่วง 10 ที่ผ่านมาขณะที่จำนวนผู้ใช้งานธนาคารทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันในประเทศญีปุ่นมีสาขาธนาคารอยู่ที่ประมาณ 13,500 แห่ง โดยแต่ละแห่งจะมีพนักงานทำงานอยู่ราว 30 คน และหากจะมีการยุบสาขาเพื่อแก้ปัญหาลดต้นทุน ก็จะทำให้พนักงานธนาคารตกงานจำนวนมาก

นั่นคงจะไม่ต่างกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเราเหมือนกัน แต่ทางเลือกของการต่อสู้ในยุคดิจิตัลของบรรดาธุรกิจธนาคารคงต้องดูกันต่อไป ต่อข้อเสนอที่ของนายเรย์ ที่ว่า “ธนาคารอาจจะต้องเปิดให้บริการแบบเดียวกับร้านสะดวกซื้อ” อาจจะทำได้ในบางประเทศ แต่สำหรับในประเทศไทยเรา เจ้าของธนาคารคงต้องคิดหนัก ...เพราะสาเหตุใดเราก็คงรู้ๆ กันอยู่แก่ใจ

Comments


Thanks! Message sent.

© 2023 by "GETnews". Proudly created with Wix.com

bottom of page